Wat Phra Mahathat Woramahawihan, Nakhon Si Thammarat Mon–Sun: 08:30 AM – 04:30 PM

เหตุผลในการประกาศขึ้นทะเบียน

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นอารามพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่มีชีวิตชีวาและเป็นประจักษ์พยานของการแลกเปลี่ยนทางศาสนาและวัฒนธรรมที่หลากหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานกว่า 1,500 ปี วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนคาบสมุทรมาเลย์ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงทางการค้าที่สำคัญระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก โดยมีพระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลาง

เอกสารได้อธิบายถึงพัฒนาการของวัดใน 4 ยุคสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนทางศาสนาและสถาปัตยกรรมกับประเทศต่างๆ

ยุคที่ 1 (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5-8): มีร่องรอยของศาสนาฮินดูที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เช่น ศิลาจารึก ฐานโยนิหินทราย และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม ซึ่งบ่งชี้ว่าสถานที่นี้เคยเป็นเทวาลัยฮินดูมาก่อนที่จะกลายเป็นวัดพุทธ ในปัจจุบันเทพเจ้าฮินดูและชุมชนพราหมณ์ยังคงมีความสำคัญต่อความเชื่อและพิธีกรรมของวัด นอกจากนี้ยังมีการค้นพบกรอบประตูหินแกรนิตแกะสลักที่คล้ายกับของเทวาลัยฮินดูในทมิฬนาดู อินเดีย และรูปปั้นเทพเจ้าฮินดูอย่างพระอินทร์และพระวิษณุ (พระนารายณ์) ปรากฏอยู่บนหน้าบันของอุโบสถ

ยุคที่ 2 (ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 - 11): วัดแห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของพุทธศาสนามหายาน โดยได้รับอิทธิพลจากศูนย์กลางต่างๆ เช่น นาลันทาในอินเดีย บุโรพุทโธในอินโดนีเซีย และอนุราธปุระในศรีลังกา แผนผังมณฑลของกลุ่มสถูปพระบรมธาตุเจดีย์ถือเป็นตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์ระฆังรูปทรงกระบอกของพระบรมธาตุเจดีย์ก็เป็นตัวอย่างขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังคงอยู่ และวิหารพระศรีมหาโพธิ์ (โพธิฆระ) สองหลังของวัดพระมหาธาตุเป็นวิหารต้นโพธิ์ที่เก่าแก่และมีอายุยืนยาวที่สุดในภูมิภาค

ยุคที่ 3 (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 14): วัดได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากศรีลังกาอย่างมาก และกลายเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อเจดีย์ในสมัยสุโขทัยและต่อมาถึงอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ลักษณะสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในยุคนี้คือบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ระหว่างองค์ระฆังและปล้องไฉนของพระบรมธาตุเจดีย์ และรูปปั้นช้างรอบฐาน

ยุคที่ 4 (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 - 18): ศิลปะอยุธยาเริ่มมีอิทธิพล และมีการสร้างอาคารจำนวนมากภายในวัด ปลียอดของพระบรมธาตุเจดีย์คาดว่าถูกหุ้มด้วยแผ่นทองคำแท้น้ำหนัก 197.45 กิโลกรัม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบสถาปัตยกรรมของพระบรมธาตุเจดีย์ยังได้ส่งอิทธิพลไปยังศาสนสถานในมาเลเซียตอนเหนือและเมียนมาตอนใต้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนที่สำคัญกับชาวมอญ รวมถึงการประดับตกแต่งปลียอดด้วยทองคำแท

วัดแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ 32,656 ชิ้น โดย 84 ชิ้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ นอกจากนี้ วัดยังเป็นศูนย์กลางของวรรณกรรมท้องถิ่นสำคัญ เช่น ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีเนื้อหาใกล้เคียงกับวรรณกรรมบาลีจากศรีลังกาในคริสต์ศตวรรษที่ 13

ในส่วนของการรักษาเนื้อหาส่วนของรูปภาพนั้น เอกสารที่ให้มาเป็นข้อความ ไม่มีรูปภาพประกอบโดยตรง ดังนั้นการสรุปจึงอิงจากคำบรรยายถึงสถาปัตยกรรม รูปปั้น หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายที่กล่าวถึงในเนื้อหาแทน เช่น รูปปั้นช้างรอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์ หรือชุดภาพถ่ายการแสดงโนรา

แหล่งโบราณคดีนาลันทามหาวิหารที่นาลันทา รัฐพิหาร (อินเดีย)

แหล่งโบราณคดีนาลันทามหาวิหารตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ใกล้กับที่ราบลุ่มปากแม่น้ำคงคา การแลกเปลี่ยนทางทะเลจึงสามารถเข้าถึงได้ค่อนข้างสะดวก นาลันทาเป็นกลุ่มวัดมหายานสำคัญซึ่งมีร่องรอยของวัดยุคแรกที่สามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล เมืองแห่งนี้รุ่งเรืองและกลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการศึกษาที่ยาวนานที่สุดของอินเดีย ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 - 13 ก่อนที่จะถูกทำลายและปล่อยทิ้งร้าง องค์ประกอบหลักของนาลันทาประกอบด้วย สถูป วิหาร และกุฏิจำนวนมาก ซึ่งมีอิทธิพลอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

เมื่อเปรียบเทียบกัน อาณาจักรโบราณและวัดต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวเส้นทางเดินเรือ ได้รับอิทธิพลทางศาสนาและศิลปะจากนาลันทาอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 - 11 พุทธศาสนามหายานรุ่งเรืองในชวาภาคกลาง สุมาตราตอนใต้ (พื้นที่ทั้งสองอยู่ในอินโดนีเซีย) และคาบสมุทรไทย-มาเลย์ นาลันทาแสดงให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของเจดีย์ในรูปแบบแผนผังแบบห้าองค์ เช่น สถูปหมายเลข 3 (เจติยะของสารีบุตร) ซึ่งมีอิทธิพลใกล้เคียงกับรูปแบบของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช อย่างไรก็ตาม นาลันทามหาวิหารมีความแตกต่างจากวัดพระมหาธาตุคือไม่มีหลักฐานของเทวาลัยฮินดูในยุคแรกหรือวัดเถรวาทในยุคหลังปรากฎอยู่

ปัจจุบันนาลันทาเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาที่ถูกทิ้งร้าง ในขณะที่วัดพระมหาธาตุได้กลายเป็นวัดเถรวาทที่โดดเด่นและเต็มไปด้วยประเพณีที่มีชีวิตชีวาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น ในแง่ของความหลากหลายทางศาสนา การเปลี่ยนแปลง และความต่อเนื่องในทางตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร อาจกล่าวได้ว่าวัดพระมหาธาตุ ซึ่งเป็นวัดพุทธเถรวาท แต่มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกับฮินดูและมหายานจึงเป็นตัวอย่างที่ดีกว่า

ชั้นของการปรับปรุงเจดีย์หมายเลข 3 (เจดีย์สารีบุตร) นาลันท)

แผนผังสถูปหมายเลข 3 ที่ได้รับการสมมุติฐาน (สารีบุตร เจติยะ) นาลันทา

สถูปหินทรงระฆังคว่ำขนาดย่อส่วน นาลันทา

กลุ่มโบราณสถาน ณ วัดมหาโพธิที่พุทธคยา (อินเดีย)

กลุ่มโบราณสถาน ณ วัดมหาโพธิ ตั้งอยู่ในรัฐพิหารทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ไม่ไกลจากนาลันทาและบริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำคงคาที่นำไปสู่ทะเล วัดนี้เป็นหนึ่งในสี่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของพระพุทธเจ้า เนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระองค์ตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างวัดที่นี่เป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล และยังคงเหลือร่องรอยบางส่วนให้เห็น เช่น รั้วศิลาและเสาหินอนุสรณ์ วัดมหายานในสถานที่แห่งนี้มีอายุราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 - 6 ในช่วงยุคคุปตะตอนปลาย โบราณสถานหลักที่สร้างด้วยอิฐสูง 50 เมตรแห่งนี้ เป็นหนึ่งในวัดพุทธแห่งแรกที่สร้างขึ้นด้วยอิฐทั้งหลังและล้อมรอบไปด้วยสถูปขนาดเล็ก วิหาร อาคาร สิ่งปลูกสร้าง และสระบัว ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลังการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ตัวโบราณสถานหลักของวัดมีรูปทรงสี่เหลี่ยม ทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศเหนือ มีฐานเตี้ย ๆ ที่ตกแต่งด้วยลวดลาย ตัววัดมีการแบ่งโครงสร้างเป็นหลายระดับ มีซุ้มและยอดประดับด้วยอมาลกะและกลศ ที่มุมทั้งสี่ของรั้วโบราณสถานหลักมีพระพุทธรูป 4 องค์ประดิษฐานอยู่ในวิหารขนาดเล็กที่มียอดเจดีย์ ซึ่งทั้งหมดรวมกันเป็นแผนผังแบบห้าองค์ ทางทิศตะวันตกของโบราณสถานหลักมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยรั่วศิลา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหน่อมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของกลุ่มวัดแห่งนี้

ต้นศรีมหาโพธิ พุทธคยา

ภายในวัดมหาบดี พุทธคยา

 

ซากวิหารพุทธที่ปาหารปุระ (บังกลาเทศ)

ซากวิหารพุทธที่ปาหารปุระ เป็นเช่นเดียวกับนาลันทาและพุทธคยา คือตั้งอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ปากแม่น้ำคงคา ซึ่งสามารถเข้าถึงอ่าวเบงกอลได้ วัดนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนามหายานในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และกลายเป็นศูนย์กลางทางความรู้ที่มีชื่อเสียงจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12  ในปัจจุบัน ซากอิฐของโบราณสถานหลักมีความสูง 21 เมตร และมีแผนผังเป็นรูปกากบาท โดยมีลานประทักษิณสามชั้นและทางเข้าหลักอยู่ทางทิศเหนือ ชั้นกลางมีทางเดินกว้างสำหรับเดินประทักษิณ และแต่เดิมมีแถบแผ่นดินเผาสองแถบ ที่ฐานมีรูปปั้นหินกว่า 60 ชิ้น แสดงถึงเทพเจ้าฮินดูต่าง ๆ  บันทึกและจารึกระบุว่าวัดนี้มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับพุทธคยาและนาลันทาที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน  ซึ่งรับเอาพุทธศาสนามหายานนิกายวัชรยานมาปฏิบัติ

ซากวิหารพุทธที่ปาหารปุระ และพระบรมธาตุเจดีย์ของวัดพระมหาธาตุต่างทำด้วยอิฐและเป็นวัดพุทธมหายานในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม โบราณสถานหลักตรงกลางของวัดปาหารปุระ มีแผนผังรูปกากบาท ในขณะที่พระบรมธาตุมีแผนผังแบบห้าองค์ อีกทั้ง วัดปาหารปุระไม่มีหลักฐานของเทวาลัยฮินดูในยุคโบราณ แม้ว่าจะมีประติมากรรมฮินดูจำนวนมากตกแต่งเจดีย์พุทธก็ตาม แต่วัดพระมหาธาตุมีหลักฐานดังกล่าวปรากฎ จากอดีตที่เคยรุ่งเรือง ปัจจุบันวัดขนาดใหญ่แห่งนี้กลายเป็นวัดร้างมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ และไม่ปรากฏร่องรอยของพุทธศาสนาเถรวาทอีกด้วย ดังนั้น ในแง่ของความหลากหลายทางศาสนา การเปลี่ยนแปลง และความต่อเนื่องในบริเวณอ่าวเบงกอล อาจกล่าวได้ว่าวัดพระมหาธาตุ ซึ่งยังคงเป็นวัดพุทธเถรวาทที่ยังมีชีวิต และมีร่องรอยของเทวาลัยฮินดูและสิ่งก่อสร้างของพุทธมหายาน รวมถึงประวัติศาสตร์ยาวนานราว 1,500 ปี สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีกว่าในประเด็นดังกล่าว

ซากวิหารพุทธที่ปาหารปุระ

ซากวิหารพุทธที่ปาหารปุระ

กลุ่มวัดบุโรพุทโธ (อินโดนีเซีย)

กลุ่มวัดบุโรพุทโธตั้งอยู่ทางตอนใต้ของชวากลาง บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย และสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 - 9 กลุ่มวัดประกอบด้วยวัดสามแห่งที่ตั้งอยู่บนแนวแกนตะวันออก - ตะวันตก ได้แก่ วัดเมนดุต วัดปะวน และวัดบุโรพุทโธ ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้และถือเป็นหนึ่งในโบราณสถานทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตัววัดสร้างด้วยหินแอนดีไซต์สีเทาคลุมเนินเขาธรรมชาติซึ่งถือเป็นแกนกลาง มีสามชั้น ได้แก่ ฐานทรงพีระมิดที่มีระเบียงทางเดินประทักษิณสี่เหลี่ยมห้าชั้น ส่วนกลางเป็นทรงกรวยที่มีฐานวงกลมสามชั้น และมีสถูปขนาดใหญ่เพียงองค์เดียวอยู่ด้านบน รอบระเบียงกลมมีสถูปแบบลูกกรงกลวง 72 องค์ แต่ละองค์มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน การแบ่งพื้นที่ทางแนวตั้งของวัดแห่งนี้เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องจักรวาลวิทยาในพระพุทธศาสนา 

ในเชิงเปรียบเทียบ องค์ระฆังของวัดบุโรพุทโธคล้ายกับของมหาวิหารนาลันทาและพระบรมธาตุเจดีย์ของวัดพระมหาธาตุ ซึ่งต่างเป็นวัดมหายานในช่วงเวลาเดียวกัน แต่มีเพียงวัดพระมหาธาตุเท่านั้นที่ยังคงเป็นอารามในพระพุทธศาสนาที่ยังคงความมีชีวิตชีวาอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน แผนผังแบบมณฑลที่มีฐานกลมเป็นลานกว้างสามชั้นมีสถูป 72 องค์ล้อมรอบสถูปหลักของวัดบุโรพุทโธ อาจเป็นแนวทางให้กับวัดอื่น ๆ ในชวากลาง เช่น วัดเซวู (วัดในพุทธศาสนา ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8) วัดเพลาสัน (วัดในพุทธศาสนา ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 9) และวัดปรัมบานัน (ศาสนสถานฮินดู ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9) ที่ปรับเปลี่ยนผังมณฑลวงกลมของวัดบุโรพุทโธให้เป็นแผนผังแบบมณฑลสี่เหลี่ยมที่มีโครงสร้างขนาดเล็กล้อมรอบวัดหลักในพื้นที่ระนาบเดียวกัน แผนผังแบบมณฑลสี่เหลี่ยมนี้ปรากฏอย่างชัดเจนในพระบรมธาตุเจดีย์ของวัดพระมหาธาตุ ทำให้เป็นตัวอย่างเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่และอายุยาวนานที่สุดในโลกพุทธศาสนาภาคพื้นสมุทร

วัดบุโรพุทโธ

วัดบุโรพุทโธ

 

พระบรมธาตุเจดีย์ที่มีองค์ระฆังขนาดใหญ่ (สูง 9.8 เมตร) มีขนาดเกือบสองเท่าขององค์ระฆังของสถูปหลักที่อยู่ชั้นบนสุดของวัดบุโรพุทโธ (สูง 5 เมตร) แม้ว่าวัดบุโรพุทโธจะยิ่งใหญ่หรือมีพระพุทธศาสนานิกายมหายานรุ่งเรืองเพียงใด แต่ปัจจุบันเป็นวัดร้างและไม่ปรากฏหลักฐานของเทวาลัยฮินดูหรือร่องรอยของพุทธศาสนาเถรวาท กระนั้นก็ตาม สถาปัตยกรรมของวัดพระมหาธาตุถือเป็นมรดกตกทอดมาจากบุโรพุธโธ ดังนั้น ในแง่ของความหลากหลายทางศาสนา การเปลี่ยนแปลง ความต่อเนื่อง และความยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร อาจกล่าวได้ว่าวัดพระมหาธาตุ ซึ่งยังคงเป็นวัดพุทธเถรวาทที่ยังใช้งานอยู่พร้อมด้วยประวัติศาสตร์ของศาสนาฮินดูและพุทธมหายานและมีอายุยืนนานประมาณ 1,500 ปี สามารถเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งขึ้น

แผนผังมัณฑละของวัดบุโรพุทโธ

แผนผังมัณฑละของวัดบุโรพุทโธ

 

เจดีย์ชั้นบนสุดมีองค์ระฆังคว่ำยอดแหลม และเจดีย์บริวารที่มีพระพุทธรูป วัดบุโรพุทโธ

เจดีย์ชั้นบนสุดมีองค์ระฆังคว่ำยอดแหลม และเจดีย์บริวารที่มีพระพุทธรูป วัดบุโรพุทโธ

 

ผังมัณฑละของวัดเซวู

ผังมัณฑละของวัดเซวู

ผังมัณฑละของวัดเพลาสัน

ผังมัณฑละของวัดเพลาสัน

วัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ (ศรีลังกา)

วัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ ตั้งอยู่ในศรีลังกากลาง ซึ่งเป็นเกาะที่เปิดออกสู่มหาสมุทรอินเดีย วัดถ้ำแห่งนี้ก่อตั้งและเป็นที่พำนักของพระภิกษุแบบอรัญวาสีตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์กาล วัดถ้ำเถรวาทแห่งนี้ยังคงถูกใช้งานโดยที่ถ้ำธรรมชาติได้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหนึ่งในวัดถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ แสดงให้เห็นถึงวิธีการออกแบบภายในและการตกแต่งที่สร้างสรรค์ ซึ่งบริเวณห้องประกอบพิธีกรรมทั้งห้าแห่งไม่ได้ถูกแบ่งเป็นห้องอย่างชัดเจนด้วยกำแพง แต่ถูกแยกพื้นที่ออกจากกันอย่างปราณีตด้วยการจัดเรียงรูปปั้นหลากสีที่ทำจากปูนปั้น ดินเหนียว หรือหินในถ้ำซึ่งตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะไม่มีการแบ่งกั้นทางกายภาพ แต่มีการจัดพื้นที่ตามลักษณะพิธีกรรม ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถผ่านพื้นที่ต่าง ๆ ไปได้จากพิธีกรรมหนึ่งไปสู่อีกพิธีกรรมหนึ่งอย่างเป็นระเบียบ

วัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ เป็นเช่นเดียวกับวัดพระมหาธาตุ คือเป็นวัดพุทธเถรวาทที่ยังคงมีการใช้งานอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าศิลปะและพุทธศาสนาของศรีลังกามีอิทธิพลสำคัญต่อสถาปัตยกรรมของวัดพระมหาธาตุ บัลลังก์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ระหว่างองค์ระฆังและปล้องไฉนของพระบรมธาตุเจดีย์คล้ายกับบัลลงก์ของสถูปหลักภายในถ้ำที่วัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ แต่รูปองค์ระฆังแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม คุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของวัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ คือมีถ้ำศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่พระบรมธาตุเจดีย์ตั้งอยู่บนลานกลางแจ้งและเป็นศูนย์กลางทางกายภาพของเมือง  วัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ ไม่ปรากฏร่องรอยของเทวาลัยฮินดูหรืออิทธิพลที่เด่นชัดจากศูนย์กลางมหายานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียหรือชวาภาคกลาง ดังเช่นจากนาลันทาและบุโรพุทโธ ดังนั้น ในแง่ของความหลากหลายทางศาสนา การผสมผสาน และการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร อาจกล่าวได้ว่าวัดพระมหาธาตุ ซึ่งมีประวัติศาสตร์ของศาสนาฮินดูและมหายานจากนาลันทาและชวาภาคกลางร่วมด้วยน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีกว่า

 

วัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ (ภายใน)

วัดถ้ำรังคีรี ทัมพุลละ (ภายนอก)

 

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองบนเขาสิงคุตตระ

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บนเขาสิงคุตตระซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของแนวภูเขาศิลาแลง และเป็นพื้นที่สูงในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ถูกน้ำท่วมตามฤดูกาล ตั้งอยู่ติดกับอ่าวเมาะตะมะซึ่งมีทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย อาณาจักรโบราณของชาวมอญที่เคยเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดรูปแบบของเจดีย์ (สถูป) แห่งนี้ งานวิจัยทางโบราณคดีระบุว่าเจดีย์แห่งนี้อาจจะถูกสร้างขึ้นครั้งแรกระหว่างราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึง 10 แต่ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 และในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีการขยายความสูงขึ้นไปถึง 40 เมตร ซึ่งเป็นรูปร่างที่เห็นในปัจจุบัน เขาสิงคุตตระได้รับการเคารพบูชาในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จากผู้คนในท้องถิ่น และทุกวันนี้เชื่อกันว่าพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ ถือเป็นเจดีย์ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในพม่า เจดีย์ตั้งอยู่ในบริเวณวัดพุทธเถรวาทขนาดใหญ่ มีองค์ระฆังคว่ำที่ลาดเอียงและไม่มีบัลลังก์ระหว่างองค์ระฆังกับปล้องไฉน ฐานของเจดีย์ทำด้วยอิฐและหุ้มด้วยแผ่นทองคำแท้ ตัวเจดีย์ปิดทองทั้งหมดและประดับด้วยฉัตรซึ่งฝังด้วยเพชรและอัญมณีต่าง ๆ ซึ่งมาจากการบริจาคโดยประชาชนและราชวงศ์มานานหลายศตวรรษ

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองบนเขาสิงคุตตระ 

 

เจดีย์ชเวดากองและพระมหาธาตุเจดีย์ทั้งสองเป็นศูนย์กลางของวัดพุทธเถรวาทที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบันและเชื่อว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แม้ว่ารูปร่างจะต่างกัน แต่ทั้งสองที่มีการใช้ทองคำทำให้สถาปัตยกรรมมีความโดดเด่น ซึ่งพระบรมธาตุเจดีย์อาจได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมมอญในแง่นี้ ในทางกลับกัน ในปี ค.ศ. 1855 มีการพบเจดีย์ทองคำจำลอง (สูง 34.3 ซม.) ที่ทำขึ้นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 - 16 จากห้องบรรจุพระธาตุที่ฐานเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้ง โดยเจดีย์จำลองนี้มีลักษณะเป็นองค์ระฆังและมีบัลลังก์สี่เหลี่ยมระหว่างองค์ระฆังกับปล้องไฉน ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากพระมหาธาตุเจดีย์ของวัดพระมหาธาตุ เพราะทั้งสองสถานที่มีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมจากหลักฐานทางศิลปะและประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เจดีย์ชเวดากองไม่มีเทวาลัยฮินดูโบราณและระฆังรูปทรงกระบอกอย่างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียและชวาภาคกลาง 

ดังนั้น ในแง่ของความหลากหลายทางศาสนา ความกว้างไกลในเชิงอิทธิพลทางศิลปะ และความยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร อาจกล่าวได้ว่าวัดพระมหาธาตุซึ่งมีประวัติศาสตร์ฮินดู มีการรับอิทธิพลทางศาสนาและศิลปะที่กว้างไกล และมีอายุราว 1,500 ปี สามารถเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมกว่าในแง่นี้ 

แบบจำลองเจดีย์ จากห้องเก็บอัฐิ

 

สรุป 

คุณค่าอันโดดเด่นระดับสากลของวัดพระมหาธาตุเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์ของการแลกเปลี่ยนทางศาสนาที่หลากหลาย ประกอบด้วยศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธมหายาน และศาสนาพุทธเถรวาททั่วตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทรมานานราว 1,500 ปี สอดคล้องกับเกณฑ์ (ii) และ (vi) และการศึกษาเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่า ในแง่นี้ ไม่มีวัดพุทธใดในแถบเอเชียภาคพื้นสมุทรที่ได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกหรือบัญชีมรดกโลกเบื้องต้นที่มีคุณค่าอันโดดเด่นเป็นระดับสากลสมบูรณ์เช่นนี้

จากการศึกษาเปรียบเทียบ เห็นได้ชัดว่าวัดพระมหาธาตุได้รวบรวมกระแสทางแนวคิด ศิลปะ และสถาปัตยกรรมของศาสนาที่สำคัญทั้งหมด รวมถึงศาสนาฮินดู พุทธมหายาน และพุทธเถรวาทที่แพร่หลายไปทั่วทั้งตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร ในบรรดาแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมทั้งหมดที่คัดเลือกมาเพื่อการวิเคราะห์เปรียบเทียบนี้ อาจกล่าวได้ว่าวัดพระมหาธาตุเป็นวัดที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่หลากหลายที่สุดจากกระแสทางศิลปะซึ่งมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้ เช่น ศิลปะปาละจากนาลันทา ศิลปะชวากลาง ศิลปะศรีลังกา และศิลปะมอญของเมียนมาตอนล่าง ล้วนมีอิทธิพลต่อองค์ประกอบของพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของการแลกเปลี่ยนค่านิยมของความเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่มีแหล่งมรดกโลกใดสามารถเทียบเคียงได้ในมิตินี้ 

มรดกทางสถาปัตยกรรมและมรดกทางวัฒนธรรมของวัดพระมหาธาตุได้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางไปยังสถานที่อื่น ๆ ในประเทศไทย เช่น สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ และจังหวัดทางภาคใต้ และไปยังรวมถึงต่างประเทศ เช่น เมียนมา และมาเลเซีย ประวัติศาสตร์ทางศาสนาที่มีอายุประมาณ 1,500 ปีของวัดแห่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังคงเอื้อต่อการผสมผสานของศาสนาที่หลากหลายและทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณที่มีชีวิตชีวาของเมืองบนคาบสมุทรอันโดดเด่นแห่งนี้  ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความหลากหลายทางศาสนาและศิลปะ ความยาวนาน ความเป็นเอกลักษณ์ และความมีชีวิตชีวาที่ต่อเนื่องของวัดพระมหาธาตุในภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร พื้นที่ทางวัฒนธรรมแห่งนี้จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวอย่างมรดกโลกที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ และในบางแง่มุมอาจเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งกว่า วัดพระมหาธาตุจึงมีความสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

ร่างคำแถลงคุณค่าโดดเด่นระดับสากล

1. บทสังเคราะห์โดยสังเขป

วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนคาบสมุทรซึ่งอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นอารามในพุทธศาสนาที่แสดงถึงหลักฐานสำคัญที่ยังมีชีวิตอันแสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนทางศาสนาที่หยั่งรากลึกและหลากหลายทั่วทั้งตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้คนในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ประโยชน์จากลมมรสุมในการเดินเรือเพื่อข้ามทะเลกว้างใหญ่ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ผู้คนเหล่านี้นำสินค้ามีค่าและวัฒนธรรมต่าง ๆ ติดตัวไปด้วย เช่น ศาสนา ภาษา และศิลปะรูปแบบต่าง ๆ ในบริบทนี้ วัดพระมหาธาตุถือเป็นสถานที่สำคัญระดับสากลที่โดดเด่น โดยได้ทำหน้าที่เป็นวัดที่ยังมีชีวิตอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นประจักษ์พยานของศาสนาฮินดู พุทธศาสนานิกายมหายาน และพุทธศาสนานิกายเถรวาทในหลายยุคสมัยเป็นเวลาประมาณ 1,500 ปี 

ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร วัดพระมหาธาตุมีพระบรมธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิของพระพุทธเจ้าในรูปของเจดีย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางวัด และมีประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นอันมาก วัดแห่งนี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาและสถาปัตยกรรมในสี่สมัยหลักที่สามารถสังเกตเห็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับประเทศอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน ดังนี้ ในยุคแรก (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 - 8) พบหลักฐานของศาสนาฮินดูที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เช่น ศิลาจารึก โยนี และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมบางอย่าง ซึ่งบ่งบอกว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นวัดพุทธ เทพเจ้าฮินดูและชุมชนพราหมณ์ยังคงมีบทบาทสำคัญในระบบความเชื่อและพิธีกรรมของวัดในปัจจุบันเช่นกัน ในยุคที่สอง (ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 - 11)  การจัดผังมณฑลของกลุ่มสถูปของพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งมีอายุยาวนานที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์ระฆังทรงกระบอกของพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิหารพระศรีมหาโพธิ์สองหลังซึ่งเก่าแก่ที่สุดและมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีค่าอายุทางวิทยาศาสตร์จากการขุดค้นทางโบราณคดี บ่งชี้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นวัดสำคัญของพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบสถาปัตยกรรมจากศูนย์กลางมหายาน เช่น นาลันทาในอินเดีย บุโรพุทโธในอินโดนีเซีย และอนุราธปุระในศรีลังกา ในยุคที่สาม (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 14)  บัลลังก์ขนาดใหญ่ระหว่างองค์ระฆังและปล้องไฉนของพระบรมธาตุเจดีย์ ซุ้มรูปปั้นช้างรอบฐานพระบรมธาตุ และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง บ่งบอกว่าวัดได้รับอิทธิพลจากศรีลังกาอย่างมาก จนกลายเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทจากศรีลังกา ซึ่งส่งอิทธิพลต่อหลายพื้นที่ในประเทศไทยและที่อื่น ๆ เช่น รูปแบบของพระบรมธาตุได้มีอิทธิพลต่อเจดีย์ในสุโขทัยและสืบเนื่องถึงอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ในยุคที่สี่ (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18) ศิลปะอยุธยาจากภาคกลางของไทยได้มีอิทธิพลมากขึ้น และมีการสร้างวิหารหลายหลังในวัด ในช่วงนี้การหุ้มปลียอดด้วยแผ่นทองคำแท้ ซึ่งมีน้ำหนักในปัจจุบัน 197.45 กิโลกรัม น่าจะเกิดขึ้นในช่วงนี้และน่าจะเป็นอิทธิพลจากศิลปะมอญ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากมากในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้นเจดีย์บางแห่งในพม่า สถาปัตยกรรมของพระบรมธาตุได้แพร่หลายไปยังสถานที่ต่าง ๆ อันอาจรวมถึงภาคเหนือของมาเลเซียและภาคใต้ของพม่า องค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าวัดพระมหาธาตุแสดงถึงการแลกเปลี่ยนทางศาสนาที่โดดเด่นมานานประมาณ 1,500 ปี ในทางตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร

ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและจิตวิญญาณของอาณาจักรโบราณนครศรีธรรมราชและในจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน วัดพระมหาธาตุได้รับการอนุรักษ์และดูแลเป็นอย่างดีตามประเพณีโดยชุมชนท้องถิ่นและภาครัฐ ตัวอารามมีขนาดกว้างขวางและคงไว้ซึ่งความแท้และดั้งเดิม ความสมบูรณ์ ความครบถ้วน และประเพณีที่ยังคงดำเนินอยู่ ประเพณีที่หลากหลายเหล่านี้ยังคงเติมเต็มจิตวิญญาณอันแท้จริงให้กับวัด ตัวอย่างเช่น พิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุที่จัดขึ้นทุกปีที่วัดพระบรมธาตุเป็นสิ่งหลงเหลือจากอิทธิพลจากศรีลังกาในครั้งโบราณ แต่มีผู้เข้าร่วมพิธีมากกว่าในศรีลังกามากนัก และยังคงเป็นแบบอย่างแก่อารามต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด นอกจากนี้ นาฏศิลป์โนราจากภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ยังคงมีการแสดงที่วัดในโอกาสพิเศษและมีบทสวดเก่าแก่เพื่อสรรเสริญและสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุยังมีส่วนพิพิธภัณฑ์อันทรงคุณค่า เก็บรักษาวัตถุโบราณและศิลปวัตถุจำนวน 32,656 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของที่พุทธศาสนิกชนถวายให้กับวัด ซึ่งแสดงถึงศรัทธาอันเข้มแข็งที่มีต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และในจำนวนนี้มีศิลปวัตถุ 84 ชิ้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาและได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาล  นอกจากนี้พระบรมธาตุยังเป็นศูนย์กลางของตำนานท้องถิ่นซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากคัมภีร์ภาษาบาลีของศรีลังกาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 อย่างใกล้ชิดกว่าตำนานใด ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าทั้งในรูปแบบปากเปล่าและเป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่และโดดเด่นที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านยังคงสวดตำนานนี้ในวันสำคัญทางศาสนา ทุกองค์ประกอบเหล่านี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าวัดพระมหาธาตุมีความสัมพันธ์โดยตรงและชัดเจนกับประเพณีที่มีความสำคัญอันโดดเด่นเป็นสากลอย่างยิ่ง

2. เหตุผลในการขึ้นทะเบียน

เกณฑ์ข้อ (ii)

วัดพระมหาธาตุแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางศาสนา ความต่อเนื่องทางจิตวิญญาณ และองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนถึงระลอกทางศาสนาและรูปแบบศิลปะ ซึ่งประกอบด้วยศาสนาฮินดู พุทธศาสนานิกายมหายาน และพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่ได้รับการถ่ายทอดทั่วทั้งตอนใต้ของเอเชียภาคพื้นสมุทรมาเป็นเวลาประมาณ 1,500 ปี วัดพระมหาธาตุมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายและทรงคุณค่าซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากแหล่งที่สำคัญในภูมิภาคนี้เช่น ศิลปะปาละจากนาลันทา ศิลปะชวากลาง ศิลปะศรีลังกา และศิลปะมอญจากเมียนมาทางตอนใต้ จึงเป็นตัวอย่างของการแลกเปลี่ยนทางศาสนาและสถาปัตยกรรมในมวลมนุษย์อย่างชัดเจน  รูปแบบสถาปัตยกรรม การปฏิบัติทางพุทธศาสนา และประเพณีที่มีชีวิตของอารามแห่งนี้ ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย มาเลเซีย และประเทศอื่น ๆ อีกด้วย

เกณฑ์ข้อ ii

วัดพระมหาธาตุเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของเมืองที่สำคัญและเป็นศูนย์กลางของประเพณีที่ยังดำรงอยู่ด้วยระบบความเชื่อที่หลากหลาย ซึ่งได้ผสมผสานระหว่างความเชื่อพื้นเมืองดั้งเดิม ความเชื่อในศาสนาฮินดู และพุทธศาสนาในกาลต่อมา ดังเห็นได้จากการบูชา การทำบุญ และประเพณีประจำปี ลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของประเพณีที่ยังสืบทอดอยู่ในอารามแห่งนี้ เช่น พิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ การแสดงโนรา การบูชาบรรพบุรุษ พิธีพราหมณ์ งานศิลปะเฉพาะถิ่น และประเพณีท้องถิ่น ต่างสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กับชุมชนรายรอบอย่างชัดเจน อีกทั้งเป็นแนวทางให้กับอารามและชุมชนอื่น ๆ บนคาบสมุทรไทย-มาเลย์และภูมิภาคอื่น ๆ ได้ปฎิบัติตามอีกด้วย

3.คำแถลงเรื่องความครบถ้วนสมบูรณ์

การกำหนดอาณาบริเวณของพื้นที่ที่จะเสนอชื่อให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและพื้นที่กันชนให้ความสำคัญกับขอบเขตของวัดพระมหาธาตุและเมืองโบราณนครศรีธรรมราช และได้รวมโบราณสถานที่จำเป็นทั้งหมดด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงอิทธพลทางศาสนา สถาปัตยกรรม และแผนผังของวัดที่ได้รับจากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทร เช่น อินเดีย ชวาภาคกลาง ศรีลังกา และดินแดนมอญ รวมถึงอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมของอารามแห่งนี้ที่มีต่อสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่ตามมาทั้งในประเทศไทยและที่อื่น ๆ ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล พื้นที่ที่ได้รับการเสนอชื่ออับประกอบด้วยอาณาบริเวณของวัดพระมหาธาตุ ขนาด 5.356 เฮกตาร์ และพื้นที่กันชนที่ครอบคลุมเขตเมืองเก่านครศรีธรรมราช ขนาด 113.136 เฮกตาร์ เป็นสิ่งยืนยันว่ามีขนาดที่กว้างขวางเพียงพอ ความครบถ้วนสมบูรณ์ของอารามในพระพุทธศาสนาแห่งนี้ยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีโดยมีทั้งส่วนที่เป็นพุทธาวาสและสังฆาวาสให้พระสงค์และฆราวาสใช้ประกอบพิธีกรรมและพักอาศัย กลุ่มพระบรมธาตุเจดีย์และอาคารทางศาสนาที่อยู่โดยรอบตั้งเป็นศูนย์กลางของอารามบนสันชายหาดโบราณ

ในด้านความสมบูรณ์ วัดพระมหาธาตุและพื้นที่กันชนยังคงอยู่ในสภาพที่ดีและมีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม โดยได้รับการปกป้องจากชุมชนท้องถิ่นด้วยดีเสมอมา รวมทั้งมีแนวปฎิบัติตามกฎหมายอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ทั้งตัววัดและเมืองเก่าที่มีพื้นที่ทับซ้อนกับเขตเมืองปัจจุบัน การพัฒนาตัวเมืองไม่ได้ส่งผลกระทบด้านลบต่อวัดพระมหาธาตุ เนื่องจากวัดพระมาหาธาตุถือเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของจังหวัด และยังคงมีการใช้งานเพื่อกิจทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ดังนั้นพื้นที่แห่งนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความเป็นองค์รวมเป็นอย่างยิ่ง 

4. คำแถลงเรื่องความแท้และดั้งเดิม

วัดพระมหาธาตุ ยังคงรักษาความเป็นของแท้และดั้งเดิมอย่างสูงในด้านรูปแบบ วัสดุ ประเพณี ที่ตั้ง การใช้งาน และจิตวิญญาณ วัดแห่งนี้ได้รวบรวมอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมที่หลากหลายในตอนใต้ของเอเชียภาคพื้นสมุทร และยังคงแสดงถึงความแท้และดั้งเดิม หมู่สถูปของพระบรมธาตุเจดีย์ยังคงรักษาแผนผังมณฑล รวมถึงองค์ระฆังทรงกระบอกและวิหารพระศรีมหาโพธิ์ยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมตามที่สร้างขึ้นครั้งแรกราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10  ทำให้เป็นตัวอย่างที่มีชีวิตที่อายุยาวนานที่สุดในโลกพุทธศาสนาภาคพื้นสมุทร บัลลังก์สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างองค์ระฆังและปล้องไฉน รวมทั้งซุ้มรูปปั้นช้างรอบฐานเจดีย์อันเป็นเอกลักษณ์แสดงถึงอิทธิพลของศรีลังกาในช่วงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 13 ยังคงอยู่อย่างถ่องแท้  องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น วิหารที่หลังคาทำด้วยไม้ขนาดใหญ่จากสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ฯ ได้รับการบูรณะตามเวลาที่เหมาะสม โดยคงรูปแบบดั้งเดิมไว้ 

กลุ่มสถูปของพระบรมธาตุเจดีย์และฐานรากของอาคารโดยรอบทำด้วยอิฐ ทั้งนี้ในการรักษาสภาพในเวลาต่อมา ชุมชนท้องถิ่นและภาครัฐบาลใช้ปูนตำและกรรมวิธีอย่างที่เคยใช้ในอดีต สำหรับที่ตั้งของวัดพระมหาธาตุนั้นเห็นได้ชัดว่ากำหนดขึ้นมาเพื่อให้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของเมืองโดยตั้งอยู่บนสันชายหาดโบราณที่เรียกว่าหาดทรายแก้ว ซึ่งปัจจุบันยังคงได้รับการรักษาไว้บริเวณด้านหน้าของพระบรมธาตุเจดีย์ ก่อให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงาม ซึ่งหาไม่ได้จากที่ใดในเขตเมือง  อารามแห่งนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นวัดที่ยังมีชีวิต ที่เต็มไปด้วยประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์และธำรงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ดั้งเดิมอย่างแท้จริงในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาของเมือง การแยกส่วนระหว่างพื้นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมและพื้นที่อยู่อาศัยภายในอารามได้กระทำตามที่บัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังมีการสร้างวิหารโดยรอบเพื่อสร้างบรรยากาศของสวรรค์ในพุทธศาสนาและใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมโดยพระสงฆ์และผู้มีจิตศรัทธาโดยทั่วไป ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาเหล่านี้บางคนมาจากต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย การดำรงอยู่ทางจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาประมาณ 1,500 ปี แสดงถึงความแท้และดั้งเดิมอย่างยิ่งยวดและมีความโดดเด่นในระดับสากล

5.การปกป้องคุ้มครองและการบริหารจัดการ

มีการใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการดูแลรักษาวัดพระมหาธาตุ เขตพื้นที่กันชนและ คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน มาตรการเหล่านี้รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม รวมถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับชุมชนท้องถิ่นและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในฐานะของโบรานสถานศักดิ์สิทธิ์และวัดที่ยังมีชีวิตในพุทธศาสนา วัดพระมหาธาตุได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายหลายฉบับ โดยได้รับการประกาศให้เป็นมรดกสำคัญของชาติ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53 หน้า 1,530 ลงวันที่ 27 กันยายน 2479 และกรมศิลปากรได้กำหนดพื้นที่ของโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 141 ฉบับพิเศษ 130 ง หน้า 7 ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของวัด การคุ้มครอง การจัดการ และการอนุรักษ์ที่กระทำภายในวัดพระมหาธาตุได้รับการคุ้มครองโดยพระราชบัญญัติสองฉบับ

1. พระราชบัญญัติอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขครั้งที่ 2 พ.ศ. 2535 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร รับผิดชอบในการอนุรักษ์และบูรณะโบราณสถานทั้งหมดภายในวัด

2. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (1962) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี มาตรา 37 บัญญัติให้เจ้าอาวาสรับผิดชอบดูแลทรัพย์สินและกิจการทางศาสนาของวัด พระสงฆ์ และฆราวาสที่อาศัยอยู่ในวัดให้ปฏิบัติตามหลักธรรมและระเบียบข้อบังคับของพระพุทธศาสนา และส่งเสริมการปฏิบัติทางศาสนาอย่างเหมาะสม

พื้นที่กันชนของวัดพระมหาธาตุมีขนาดเนื้อที่กว้างขวางพอที่จะปกป้องและรักษาคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลของวัด พื้นที่กันชนนี้ทับซ้อนกับเมืองโบราณทั้งสองซึ่งมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับวัดและปัจจุบันเป็นพื้นที่เมืองสมัยใหม่ เขตกันชนนี้ได้รับการปกป้องและจัดการตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้องจำนวนสี่ฉบับ:

1. ประกาศคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. 2553 ข้อ 9(1) ของข้อบังคับสำนักงานนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์นครศรีรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 กำหนดให้เขตเมืองเก่าของนครศรีธรรมราชครอบคลุมพื้นที่ 378.9 เฮกตาร์ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ ดูแลพื้นที่ซึ่งรวมถึงเมืองโบราณและชุมชนรอบข้าง ครอบคลุมเมืองโบราณนครศรีธรรมราช, พระเวียง และชุมชนประวัติศาสตร์ท่าวัง

2. ประกาศแผนทั่วไปนครศรีธรรมราช พ.ศ. 2562 ภายใต้พระราชบัญญัติการผังเมือง กำกับติดตามกรมโยธาธิการและผังเมือง แผนนี้กำหนดการใช้ที่ดินรวมถึงมาตรการอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของพื้นที่ พื้นที่วัดและเขตกันชนรวมอยู่ภายในเขตเมืองเก่าของนครศรีธรรมราชซึ่งย้อนกลับไปสู่ยุคอยุธยา ครอบคลุมกำแพงเมืองและคูเมือง มีพื้นที่ 97.139 เฮกตาร์

3. พระราชบัญญัติเทศบาลนครศรีธรรมราช พ.ศ. 2563 ซึ่งออกโดยเทศบาลนครศรีธรรมราช ครอบคลุมพื้นที่ที่เสนอและเขตกันชนของมัน ซึ่งสอดคล้องกับเขตเมืองเก่าของนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา พื้นที่ดังกล่าวมีขนาด 97.139 เฮกตาร์ ตามแผนทั่วไปนครศรีธรรมราช กฎระเบียบเหล่านี้รวมถึงมาตรการควบคุมความสูงและการออกแบบของอาคาร และห้ามการก่อสร้าง การปรับปรุง หรือการเปลี่ยนแปลงการใช้งานสำหรับอาคารบางประเภทในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อำนาจของเทศบาล

4. ประกาศของเจ้าหน้าที่การจราจรจังหวัดนครศรีธรรมราช เกี่ยวกับการควบคุมความเร็วบนถนนภายในเทศบาลนครศรีธรรมราช ตามมาตรา 67 และ 139(6) ของพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2552 และคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 529/2555 ลงวันที่ 7 กันยายน 2555 แต่งตั้งเจ้าหน้าที่การจราจรตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 คำสั่งนี้มุ่งควบคุมความเร็วและน้ำหนักของรถยนต์บนถนนราชดำเนิน ตั้งแต่สี่แยกหัวถนน ในตำบลในเมือง จนถึงสามแยกสนามกีฬาจังหวัด ในตำบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการอนุรักษ์เมืองประวัติศาสตร์

ภารกิจการปกป้องได้ดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐบาลทุกระดับ โดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชและกรมศิลปากรกำกับติดตามโดยภาพรวมและมีการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากวัดพระมหาธาตุเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ยังคงดำรงอยู่ การร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างวัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช กรมศิลปากร และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการพื้นที่และสร้างกลยุทธ์การปกป้องที่ครอบคลุมยังคงดำเนินต่อไป โดยมุ่งเน้นที่การอนุรักษ์ การพัฒนาสภาพแวดล้อมรอบข้าง การจัดการการท่องเที่ยว การจัดการสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มความตระหนักและความเข้าใจและการบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายระยะยาวและความคาดหวังคือชุมชนท้องถิ่น รวมถึงพระสงฆ์ พุทธศาสนิกชน และผู้อยู่อาศัยในเมือง จะได้รับการพัฒนาและมีความสามารถในการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในการปกป้องและจัดการวัดพระมหาธาตุอย่างยั่งยืน


 

วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช
435 ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช 80000